คุณเขม
วสันต์ มองด้านหลังของคุณเขมอย่างทึ่ง คุณเขมตัวสูงใหญ่ หน้าตาดีและยังหนุ่มมาก เด็กชายเกิดความรู้สึกแปลกๆเมื่อมองแผ่นหลังกว้างใหญ่นั้น...
ผู้เข้าชมรวม
149
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เด็กชายวสันต์ เป็นเด็กนักเรียนชั้น ม.1 เขาเรียนที่โรงเรียนวัดใกล้บ้าน วสันต์อาศัยอยู่กับแม่ เขาไม่มีพี่น้องคนอื่นและพ่อของเขา เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อหกปีที่ี่แล้ว แม่ของวสันต์เช่าแผงขายกับข้าวในตลาด มีรายได้พอสมควรที่จะเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่ดีแก่ลูกชายคนเดียวของเธอ วสันต์มีเพื่อนสนิทอยู่สองคน ชื่อทวีกับบุญเกิด ทวีเป็นลูกชายเจ้าของร้านทองตรงสี่แยกไฟแดง ส่วนบุญเกิดเป็นลูกชายลุงบุญมาช่างทำกุญแจ ทั้งสามเป็นเพื่อนรักกัน มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ เช้านี้…หลังจากไปช่วยแม่จัดของเปิดหน้าร้านเสร็จ วสันต์ก็ปั่นจักรยานไปหาบุญเกิดที่บ้าน บุญเกิด กำลังนั่งอยู่แคร่หน้าบ้าน ใช้มีดเหลาไม้ไผ่ผ่าซีกในมืออย่างตั้งอกตั้งใจ
“บุญเกิด ทำอะไรน่ะ” วสันต์ร้องถาม บุญเกิดวางมีดวางไม้ไผ่แล้ววิ่งมาหาเพื่อน
“มีของเล่นใหม่โว้ย! นี่…กูกำลังทำคันเบ็ด เอาไปตกปลา”
“ตกที่ไหนวะ?หนองน้ำที่วัด หลวงพ่อก็ห้าม สระน้ำที่โรงเรียนกูก็ไม่เห็นมีปลาสักตัว”
“เฮ้ย..เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเลย กูเจอที่ใหม่ๆ บรรยากาศดีๆ แต่ใกลหน่อยนะ สนใจไหมล่ะ” บุญเกิดถามเพื่อน วสันต์ทำท่าคิดแล้วตอบตกลง วันนี้วันเสาร์ งานบ้านที่ได้รับมอบหมายเขาทำเสร็จหมดแล้ว แม่คงไม่ว่า ถ้าเขาจะหายตัวไปสักสามสี่ชั่วโมง บุญเกิดทำคันเบ็ดเสร็จไปแล้วหลายคัน ทั้งสองช่วยกันเลือกคันที่คิดว่าดี่ที่สุดไปคนละคัน แล้วเตรียมของที่จำเป็นต้องใช้ ซ้อนจักรยานกันปั่นไปหาทวีที่บ้าน เฮียซ้งกำลังล้งเล้งทวีอยู่เมื่อสองสหายไปถึง
“ลื้อมังแย่ที่สุกนา อาทาวีกิก อยากล่ายเงิงก็หักทำงางเสียบ้างซี่..อารายวะ เอาแต่ขอขอขอ”
“โธ่! เตี่ย อั๊วเป็นลูกเตี่ย ไม่ขอเตี่ยแล้วจะให้ไปขอแป๊ะที่ไหน จะให้อั๊วไปนั่งเฝ้าร้านทั้งวันไม่เอาหรอก เบื่อตายชัก”
“โหลยโท่ยจริงๆ เลย หักทำมาค้าขายซี่ โตขึ้งจาล่ายสบาย ไม่ต้องลำบาก ”
“เอาไว้โตก่อน ค่อยว่ากัน ตอนนี้อั๊วยังเด็กอยู่ ว่าไง..สองร้อยน่ะ” ทวีแบมือ เฮียซ้งส่ายหัวเอือมระอา แต่ก็ควักเงินในกระเป๋าส่งให้ลูกชาย วสันต์กับบุญเกิดที่ยืนมองอยู่หัวเราะกันคิกคัก ทวีหันมาเจอเพื่อนก็หน้าแดงด้วยความอาย ที่โดนเตี่ยบ่นต่อหน้าเพื่อน
“มึงสองคน มาทำอะไรแต่เช้าวะ?”
“บุญเกิดบอกว่า มีที่ตกปลา พวกกูเลยมาชวนมึงไปด้วย ” วสันต์เป็นคนตอบ ทวีมองคันเบ็ดในมือเพื่อนแล้วเบ้ปาก
“เบ็ดกระจอก ของกูนี่เบ็ดฝรั่ง พวกมึงจะเอาด้วยไหม? เดี๋ยวกูเอามาเผื่อ”
“ไม่ต้องๆ เนี่ยแหล่ะ ใช้ได้แล้ว มึงรีบไปเตรียมตัวเถอะ อย่าลืมบอกเตี่ยมึงด้วยนะโว้ย..เราต้องไปนาน”
“ไม่ต้องบอก วันนี้กูฟรี” ทวีตะโกนตอบพลางวิ่งตื๋อกลับเข้าไปในบ้าน บุญเกิดหัวเราะ ทวีตัวอ้วนกลมและสูงใหญ่กว่าเด็กวัยเดียวกัน เขาชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่ รู้มากและมีฐานะร่ำรวยมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ในขณะที่วสันต์มีรูปร่างผอมเพรียว พูดน้อยและอารมณ์ดีอยู่เนืองนิจ ส่วนตัวเขา..ครูที่โรงเรียนชมเขาเสมอว่าเป็นเด็กมีความรับผิดชอบสูง ฉลาดและรูปหล่อ!…บุญเกิดมองเงาตัวเองในกระจกหน้าร้านทอง เขาคิดว่าคุณครูคงจะเย้าเล่น ถ้าเขาหล่อ วสันต์ก็คงโคตรหล่อ โตขึ้นคงได้เป็นพระเอกหนัง เพราะวสันต์มีรูปหน้าคมคาย ฟันขาวจั๊วะและเรียงเป็นระเบียบ ไม่ซ้อนกันตรงมุมปากทั้งสองข้างเหมือนของเขา เพื่อนล้อว่าเขี้ยวเสน่ห์แต่บุญเกิดกลับมองว่ามันน่าเกลียด
“ ไปยัง?” ทวีกลับออกมา เขาถือเบ็ดคันโตและสะพายเป้ใบใหญ่
“ไปกันเลย พวกกูตุนเสบียงมาเพียบ กะจะอยู่ให้ถึงบ่ายค่อยกลับ” ทวีมองจักรยานแล้วสั่งวสันต์ให้จูงไปเก็บหลังร้าน
“เอารถเครื่องกูไปดีกว่า ถึงเร็วดี ไอ้เกิดมึงรู้ทางมาขับเลย บิดสุดเลยนะมึงจะได้ถึงเร็วๆ”
“ถึงป่าช้าน่ะสิ..ทางขรุขระจะตาย บึงนั่นอยู่ติดชายเขาโน่น เราต้องขับรถอ้อมไปใกล” บุญเกิดว่า เขาสตาร์ทรถรอจนเพื่อนทั้งสองขึ้นนั่งเรียบร้อยก็บิดคันเร่งพารถทะยานออกไป ห่างจากตัวอำเภอออกไปหลายกิโลเมตร เขาก็้เลี้ยวรถลงไปตามทางดินที่ทั้งแคบและคดเคี้ยว บางทีก็ขับตะลุยเข้าไปในดงหญ้า เกือบครึ่งชั่วโมงก็มาทะลุออกยังถนนดินค่อนข้างกว้าง ถนนเส้นนี้ทอดยาวเลียบชายเขา ไม่นานนักเขาก็จอดรถดับเครื่องแล้วชี้มือให้เพื่อนดูหนองน้ำขนาดใหญ่เบื้องหน้า
“โอ้โฮ!..อยู่นี่มาตั้งแต่เกิด ไม่เคยรู้เลยนะเนี่ย ว่ามีบึงใหญ่ขนาดนี้ซ่อนอยู่นี่ มึงดูซี..น้ำใสจนมองเป็นสีฟ้าเลย” ทวีโหวกเหวก บุญเกิดจุ๊ย์ปากห้ามเพื่อน
“อย่าเสียงดังซีมึง..เดี๋ยวก็อดหรอก คุณเขมอนุญาตให้มานั่งตกปลาได้ แต่ห้ามส่งเสียงอึกทึก”
“คุณเขมคือใคร?” วสันต์ถามด้วยความแปลกใจ
“ก็เจ้าของที่นี่ไง บ้านเขาอยู่ริมบึงด้านโน้น” บุญเกิดบุ้ยปาก ทวีกับวสันต์หันมองตามแล้วอ้าปากหวอ..เมื่อมองเห็นบ้านชั้นเดียวสีเหมือนท้องฟ้า แต่หลังคามุงด้วยกระเบื้องสีเขียวปีกแมลงทับ มีสะพานไม้ต่อจากระเบียงยื่นลงไปจนถึงศาลากลางบึง
“เราไปนั่งตกปลาที่ศาลานั่นได้ไหมวะ?” ทวีถาม บุญเกิดเอามือเกาหัว
“อย่าเลย เราไปนั่งใต้ต้นก้ามปูนั่นดีกว่า เอ้าวสันต์ เอาของไปวางโน่นเลย เดี๋ยวกูไปหาไส้เดือนก่อน” วสันต์กับทวี พากันเดินไปนั่งใต้ต้นก้ามปูใหญ่ริมบึง ทวีล้วงย่าม ควักเหยื่อสำเร็จรูปออกมาโดยมีวสันต์นั่งมองอยู่ใกล้ๆ
“พวกมึงน่ะเชย..กูบอกให้เอาของกูมาใช้ก็ไม่เอา นี่เลยต้องลำบากมานั่งขุดใส่เดือน มึงดูกูนะ” ทวีบอกแล้วลุกไปยืนริมน้ำ เขาเหวี่ยงเบ็ดลงน้ำ เบ็ดนั้นพุ่งใกลออกไปจนเกือบถึงกลางบึง ทวีหาไม้ง่ามมาปักเพื่อวางคันเบ็ด
“เดี๋ยวมึงคอยดูที่ทุ่นไว้นะ..ถ้ามันขยับ แสดงว่าปลามันตอด..นั่นไง..เอาแล้วไง” ทวีตื่นเต้น เขากว้านเบ็ดขึ้นมา มีปลานิลตัวเขื่องติดเบ็ดขึ้นมาด้วย
“เฮ้ย!..เอาลวดมาร้อยซีวะ ขังมันไว้ในน้ำก่อน เดี๋ยวมันตาย” ทวีร้องบอก วสันต์รื้อถุงย่าม เอาลวดเส้นเล็กออกมาแทงเข้าไปในปากปลาให้ทะลุออกทางเหงือก แล้วผูกปลายลวดเข้าด้วยกันให้เป็นวงกลม เขาหาไม้ไผ่มาเสี้ยมปลายให้แหลม ปักลงไปบนเลนขอบตลิ่ง แล้วเอาลวดที่ร้อยปากปลาไว้คล้องลงไป กว่าบุญเกิดจะกลับมาก็มีปลาขังอยู่ในน้ำแล้วถึงสามตัว บุญเกิดไปดูปลา เขาตื่นเต้นมากเมื่อเห็นปลาตัวใหญ่
“กูว่าเปลี่ยนเหยื่อดีกว่า อาจได้ปลาอื่นมั่ง ปลานิลสามตัวพอแล้ว” บุญเกิดบอก วสันต์เห็นด้วย ทั้งสามเอาเบ็ดเกี่ยวไส้เดือนที่บุญเกิดไปหามา ทวียังปักหลักอยู่ที่เดิม วสันต์กับบุญเกิดแยกย้ายกันไปปักเบ็ดอีกด้านหนึ่ง ไม่นานนักเด็กทั้งสามก็ได้ปลามากกว่าสิบตัว
“พอแล้ว มันเยอะเกินไปแล้ว เดี๋ยวถือกลับลำบาก โคตรหนักเลยว่ะ..กี่กิโลวะเนี่ย?” บุญเกิดบ่น
“เอางี้มั๊ย..เราย่างปลากินกัน เหลือกลับบ้านคนละสามตัวพอ” ทวีเสนอแนะ
“ดีเหมือนกัน ปลามีสิบสองตัว เราย่างกินคนละตัว เหลือคนละสาม เอาไปฝากที่บ้าน” วสันต์เห็นด้วย ทั้งสามช่วยกันหาฟืนมาก่อไฟเพื่อย่างปลา ไม่นานนัก เมื่อฟืนไหม้หมดจนเหลือแต่ถ่านแดงๆ ทั้งสามก็ถือปลาที่เสียบไม้ไว้มานั่งล้อมวงย่างกันอย่างสนุกสนาน มีเสียงกิ่งไม้หักกรอบแกรบดังมาจากด้านหลัง เด็กทั้งสามหันไปมอง บุญเกิดสะกิดบอกเพื่อน
“คุณเขมมาว่ะ..” วสันต์ขมวดคิ้ว ผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่เพิ่งเดินเข้ามา มีหน้าตาละม้ายใครคนหนึ่ง ที่เขาเคยรู้จัก
“สวัสดีครับ” เด็กทั้งสามพูดขึ้นพร้อมกัน คุณเขมยิ้มให้เด็กๆ
“คนไหนชื่อวสันต์” ถามพลางกวาดสายตามองไปตามใบหน้าและเนื้อตัวของเด็กๆ
“ผมครับ” วสันต์รีบบอก สบสายตาคมและดุของคุณเขมอย่างขลาดๆ คุณเขมมองเด็กชายอย่างพิจารณาอยู่นาน แล้วถอนใจเฮือก
“โตขึ้น จนเกือบจำไม่ได้ แม่เราสบายดีไหม?” คุณเขมถาม วสันต์อึกอัก ทวีกับบุญเกิดมองหน้ากัน
“คุณเขมรู้จักแม่ผมด้วยหรือครับ”
“เคยรู้จัก..ว่าไงล่ะ เขาสบายดีไหม? แล้วเธอ…เอ้อ… มีน้อง ฉันหมายถึงมีพี่น้องคนอื่นด้วยหรือเปล่า?”
“ไม่มีหรอกครับ วสันต์มันเป็นลูกโทน อยู่กับแม่แค่สองคน พ่อมันตายไปหลายปีแล้ว” ทวีตอบแทนเพื่อน คุณเขมสะอึก นิ่งไปนานก่่อนเดินไปตบไหล่เด็กชายวสันต์ (ุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุ
“อือม์…ก็คงต้องตายไปจริงๆซีนะ..สันต์มากับพะ..กับลุงเขมหน่อย” คุณเขมเรียกวสันต์ว่า สันต์เฉยๆ เหมือนที่แม่เรียก และแทนตัวเองว่าลุง แทนคำว่าฉันที่เคยพูด วสันต์มองหน้าเพื่อนและมองปลาในมือตัวเอง ทวีพะยักพะเยิดให้ตามคุณเขมไป พลางอาสาจะย่างปลาให้ วสันต์ส่งปลาเสียบไม้ให้เพื่อนแล้วเดินตามบุรุษแปลกหน้า ที่บุญเกิดบอกว่าเขาคือเจ้าของเจ้าของบึง และบ้านสวยหลังคาเขียวหลังนั้น วสันต์มองด้านหลังของคุณเขมอย่างทึ่ง คุณเขมตัวสูงใหญ่ หน้าตาดีและยังหนุ่มมาก…เด็กชายเกิดความรู้สึกแปลกๆ เมื่อมองแผ่นหลังกว้างใหญ่นั้น คุณเขมพาวสันต์เข้าไปในบ้าน ให้เด็กชายนั่งรอที่โซฟาตัวใหญ่และเดินหายเข้าไปในห้อง สักครู่ก็กลับออกมา คุณเขมยื่นกล่องเล็กๆในมือให้วสันต์
“ลุงฝากนี่ ไปให้แม่เราหน่อยนะ..อย่าเปิดดูล่ะและอย่าทำหายเด็ดขาด”
“ผมต้องบอกแม่ว่าไงครับ” ่
“ก็บอกแค่ว่า ลุงเขมฝากไปให้”
“ลุงเขมเฉยๆ หรือครับ แล้วแม่จะรู้หรือว่าเป็นลุงเขม.คือผมหมายถึงลุงเขมที่หน้าตาแบบนี้น่ะครับ”
วสันต์ว่า..คุณเขมหัวเราะ เดินเข้ามากอดเด็กชายและก้มตัวลงจูบหน้าผากของเขา เด็กชายวสันต์สะดุ้ง… ความอบอุ่นชนิดหนึ่งแล่นวาบเข้าสู่หัวใจ
“ช่างสงสัยนะเรา ทำตามที่ลุงเขมบอกแล้วกัน ไปกินปลากับเพื่อนได้แล้วไป แล้วอย่ากลับมืดนักล่ะ แม่เขาจะเป็นห่วง” คุณเขมสั่ง วสันต์รับคำ ยัดกล่องเล็กนั่นลงกระเป๋ากางเกง ก่อนเดินกลับไปหาเพื่อน
“เก็บร้านคนเดียวหรือแม่ดา ลูกชายไปไหนเสียล่ะ?” ป้าแฟง คนชายก๋วยเตี๋ยวข้างร้านตะโกนถามดาหวัน ดาหวันถอนใจ วันนี้ขายดีของเลยหมดเร็ว แต่เธอก็เหนื่อยมากเพราะต้องวิ่งวุ่นอยู่คนเดียว
“ ยังไม่เห็นหน้าเลยจ้ะป้า..พรุ่งนี้ฉันคงต้องปิดร้าน เหนื่ิอยขนาดนี้คงจะลุกไม่ไหว” ป้าแฟงมองร่างบอบบางสะโอดสะองของดาหวันอย่างชื่นชม ก่อนจะล้อว่า
“ก็เรานี่น้า…มัวแต่เล่นตัวไม่ยอมไปเป็นคุณนายปลัดเสียที มันก็ต้องเหนื่อยอย่างนี้ล่ะ เออ ..แล้วทำไม่ไม่จ้างลูกจ้างใหม่มาช่วยล่ะ ป้าเห็นเหนื่อยคนเดียวมาหลายวันแล้วนี่" ป้าแฟงถาม ดาหวันปาดเหงื่อพลางทรุดตัวลงนั่ง บอกป้าแฟงว่ายังหาลูกจ้างไม่ได้ นั่งพักสักครู่เธอก็คว้ากระเป๋า เอ่ยขอตัวกับคู่สนทนา
….ดาหวันจอดรถที่หน้าบ้าน เห็นประตูรั้วคล้องกุญแจ ก็รู้ว่าลูกชายไม่อยู่..เธอดูนาฬิกา บ่ายสามโมง..วสันต์ไปไหน?
“หรือว่าจะไปอยู่ร้านพี่บุญมา” ดาหวันพึมพำ เธอลงไปไขกุญแจ นำรถเข้าไปจอด แล้วเดินขึ้นบ้าน เข้าไปเปลี่ยนผ้าเตรียมตัวอาบน้ำ รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว แต่ก็ฝืนตัวเอง ภาวนาว่าขออย่าให้ตัวเองต้องมาล้มป่วยตอนนี้เลย หลังอาบน้ำ ดาหวันกินยาแก้ไข้ แล้วลงไปนั่งรอวสันต์ที่ม้านั่งข้างรั้ว นานๆ จะเงยหน้ามองไปที่ประตูรั่วทีหนึ่ง เกือบชั่วโมงวสันต์ก็ปั่นจักรยานเข้ามา
“หายไปไหนมา…ไม่บอกแม่สักคำ” เธอต่อว่า วสันต์ยิ้มประจบตรงเข้ามากอดคนเป็นแม่
“ ไปตกปลามาครับ ได้ปลามาฝากแม่ด้วย” วสันต์ชูถุงในมือ ดาหวันไม่สนใจปลา
“ ไปตกที่ไหน? ไปกับใคร?”
“ใกลครับ ที่บึงชายเขาโน่น ไปกับบุญเกิด กับคุณทวีกิจ บารมีสกุลไพศาล” บอกพลางหัวเราะ ดาหวันหยิกลูกชาย
“อย่าไปล้อเพื่อน เดี๋ยวเขาได้ยิน จะโกรธเอาอีก” ดาหวันว่า วสันต์รับปากพลางหัวเราะหึๆ เขารู้ว่าทวีไม่ชอบให้ใครเรียกชื่อเต็มของเขา ยิ่งนามสกุลด้วยแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ ทวีเคยบอกว่า ถ้าเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะเปลี่ยนนามสกุลเสียเลย เอาแบบสั้นๆ กระชับ ได้ใจความ
“ เอาแบบเท่ห์ๆ เหมือนนามสกุลมึึงเลย” ทวีบอก
“เออ..ใช่ วสันต์ ภาสุต เท่ห์ชะมัดยาด” บุญเกิดสนับสนุน ดาหวันเห็นลูกชายนั่งตาลอยก็เอามือจับคางเด็กชายเขย่าไปมาเบาๆ
“แน่ะ..ตาลอยเชียว คิดถึงสาวที่ไหน ไป ขึ้นบ้านกันดีกว่า” เด็กชายวสันต์ถือถุงปลาเดินตามแม่ขึ้นบ้าน
….ตกกลางคืน วสันต์เอาของที่ลุงเขมฝากมาไปให้แม่ แม่ของเขากำลังเตรียมตัวเข้านอน เธอรับกล่องเล็กๆ จากมือลูกชายแล้วหัวเราะขำ แต่พอเห็นสร้อยพร้อมจี้รูปหัวใจในกล่องก็ชะงัก ถามลูกชายเสียงดังว่า
“นี่อะไรเนี่ย!”
“ลุงเขมฝากมาให้แม่ครับ” เด็กชายบอกด้วยท่าทางภาคภูมิ ดาหวันขมวดคิ้ว
“เขมไหนกัน แม่ไม่เคยรู้จักคนชื่อเขม นอกจาก ..” ดาหวันชะงัก มือที่ถือกล่องสั่นจนเด็กชายมองเห็น
“แม่..เป็นอะไรไปครับ” วสันต์ ถามอย่างห่วงใย ดาหวันปฏิเสธ เธอไล่ลูกชายไปนอน ลับหลังลูกชาย เธอทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอย่างอ่อนแรง พึมพำซ้ำๆว่า เป็นไปไม่ได้ .เป็นไปไม่ได้..
….ดาหวันมองบุรุษร่างสูงใหญ่ตรงหน้า อย่างตื่นตะลึง น้ำจากสายยางพุ่งแรงจนเอ่อนองไปทั่ว แต่เธอไม่รู้ตัว คุณเขมเดินไปปิดน้ำ ดาหวันกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ตอนที่คุณเขมมาถึง
“ลูกไปไหนล่ะดา?” คุณเขมถาม แต่ดาหวันยังยืนนิ่ง พอเขาเดินเข้ามาใกล้ ก็ก้าวถอยหลังกรูด
“สันต์ไปโรงเรียน” บอกด้วยเสียงค่อนข้างสั่น คุณเขมเดินไปนั่งที่ม้ายาว เงยหน้ามองใบหน้าซีดเผือดของดาหวัน
“ ทำไมบอกลูกอย่างนั้น นี่ดาคงอยากให้ผมตายไปจริงๆ ใช่ไหม”
“ แล้วจะให้บอกว่ายังไง ถ้าบอกว่าหย่ากัน ก็ต้องมานั่งตอบคำถามอีกว่าทำไม..”
“ก็เลยตัดปัญหา แช่งให้ตายไปเลย เพราะมันง่ายดีใช่ไหม?” ดาหวันอึกอัก หลบตาดุๆ ของคุณเขม
“คุณแม่คุณ สบายดีไหมคะ?” ดาหวันถามถึงคุณหญิง คุณแม่ของคุณเขม
“เพิ่งเสียไปเมื่อต้นปีนี่เอง เสร็จจากงานศพ ก็ยังต้องวุ่นวายกับเรื่องมรดกบ้าๆนี้อีก กว่าผมจะปลีกตัวมาได้”
บอกแล้วนั่งเงียบ ดาหวันเองก็เงียบ ไม่มีอะไรจะพูดกับอดีตสามี พ่อของเด็กชายวสันต์ มีหลายอย่างที่เธออยากรู้ และอีกมากมายที่อยากบอกคุณเขม…เขาเปลี่ยนไปมาก ร่างสูงใหญ่ของเขากำยำขึ้น แววตาคมเปลี่ยนเป็นดุกระด้าง ดาหวันอยากรู้..เขา ..กลับมาทำไม? ถ้าอยากอ้างสิทธิ์ความเป็นพ่อ ทำไมไม่ทำตั้งแต่หกปีที่แล้ว เธอจำได้ว่า ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน คุณเขมบอกกับเธอว่าอย่างไร…
“ ที่บ้านกำลังมีปัญหา ที่ผมไม่ได้อยู่กับคุณกับลูกก็เพราะเหตุนี้ และผมจะต้องไปต่างประเทศ อาจจะนานหลายปี ไม่รู้จะได้กลับมาเมื่อไหร่ ผมไม่อยากเอาเปรียบคุณ การรอใครโดยไม่มีกำหนดเวลามันทรมาน ผมจะหย่าให้คุณ เผื่อคุณอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคน”….เท่านั้นเอง ไม่มีคำอธิบายมากกว่านั้น ดาหวันเจ็บปวด เธอกับคุณเขมไม่่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง บนหนทางความรักแสนวิบากทั้งสองคนร่วมกันฝ่าฟัน เธอรู้อยู่เต็มอก ว่าคุณหญิง แม่ของคุณเขมไม่ค่อยพอใจลูกสะใภ้บ้านนอกอย่างเธอสักเท่าไหร่…นี่คือเหตุผลว่าทำไม เธอกับลูกถึงต้องย้ายออกมาอยู่ที่อำเภอเล็กๆห่างใกลแบบนี้ ส่วนคุณเขม ก็ยังต้องรับผิดชอบงานในบริษัท ต้องทำหน้าที่ลูกชายคนโต ที่ต้องดูแลคนทั้งบ้าน ดูแลแม่แก่ๆที่แสนจะเจ้าระเบียบและเรื่องมากอย่างคุณหญิง ดาหวันเจอหน้าคุณเขมแค่อาทิตย์ละครั้ง ต่อมาก็เดือนละครั้ง จนครั้งสุดท้ายที่เขามาขอหย่า กระทั่งถึงวันนี้ หกปีเต็ม…ดาหวันปฏิเสธความช่วยเหลือทุกอย่างจากคุณหญิง ปฏิเสธเงินก้อนโตที่คุณหญิงหยิบยื่นให้ เพื่อแลกกับเลือดในอกของเธอ เด็กชายวสันต์….
“คุณกลับมาทำไมคะ?” ดาหวันถามเสียงแผ่วโหย ความเจ็บปวดที่คิดว่าจางหายไปแล้ววนกลับมาเยือนอีกครั้ง
“ผมคิดถึงลูก..อยากมาหาตั้งหลายครั้ง แต่ไม่รู้จะบอกลูกว่ายังไง เพราะดาดันบอกลูกไปว่าผมตายไปแล้ว” ดาหวันไม่โต้ตอบ ดวงตาดุของคุณเขมมีแววหมกมุ่น เขากำลังคิด ..ดาหวันยังไม่แต่งงานใหม่ แต่ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่มีใครเลย ดาหวันผอมลง ผิวขาวผ่องของเธอเปลี่ยนเป็นสีน้ำผึ้ง แต่ความงามผุดผาดไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด
เด็กชายวสันต์ เดินเกาะกลุ่มมากับเพื่อนหลายคน มีบุญเกิดกับทวีรวมอยู่ในกลุ่มด้วย พวกเด็กๆเพิ่งเลิกเรียน
“เฮ้ย…บุญเกิด พรุ่งนี่วันเสาร์ เราไปตกปลาที่บึงนั่นอีกไหม?” ทวีชวน บุญเกิดหันมาชวนวสันต์
“กูคงไปไม่ได้แล้ว แม่ห้ามไม่ให้เจอคุณเขมอีก” วสันต์ทำหน้าเศร้า เดินคอตกแยกจากกลุ่มเพื่อนไปเอาจักรยานปั่นกลับบ้าน บุญเกิดกับทวีมองหน้ากัน
“ เอ..ทำไมแม่มันต้องห้ามด้วยวะ? หรือกลัวว่ามันจะถูกคุณเขมจับเรียกค่าไถ่” ทวีพึมพำ
“ไอ้บ้า! คุณเขมเขารวยจะตาย แกดูบ้านเขาซี ไหนจะบึงนั่นอีก แกรู้ไหม ที่แถวนั้นเป็นของเขาหมดเลยนะ พ่อกูบอกว่า คุณเขมซื้อไว้ทำฟาร์ม” บุญเกิดยืดอกคุย เพราะคิดว่าตัวเองรู้เรื่องดีกว่าอีกฝ่าย
“แต่เขาก็ไม่ใช่คนแถวนี้ไม่ใช่หรือวะ? ขนาดพ่อกูยังไม่รู้จักเลย” ทวีบ่น
“จะรู้จักได้ไงวะ..คุณเขมเพิ่งมาอยู่ เมื่อก่อนมีแต่คนเฝ้าบ้าน ที่กูรู้เพราะตามพ่อไปส่งของที่บ้านคุณเขม กูเลยขออนุญาตเขาพาพวกมึงไปตกปลา” บุญเกิดอธิบาย แต่ทวียังเกาหัวแล้วถามว่า
“แล้วทำไม คุณเขมรู้จักวสันต์ แถมยังรู้จักแม่มันด้วย” คราวนี้บุญเกิดเป็นฝ่ายงงบ้าง เขาบอกกับทวีเสียงอ่อยว่า
“ไม่รู้ว่ะ..”
…..คุณเขม มองดูเด็กชายสามคน ช่วยกันก่อไฟใต้ต้นก้ามปูริมน้ำ เขาเดินเข้าไปทักทาย เด็กชายวสันต์ ยิ้มกับคุณเขม
“หายไปนานเลยนะเรา อาทิตย์ที่แล้วก็ไม่เห็นมา หรือว่าช่วยงานแม่ที่ร้าน” คุณเขมถามวสันต์ เด็กชายก้มหน้านิ่ง ทวี พูดเสียงดังว่า
“แม่มันห้ามครับ งานที่ร้านไม่ยุ่งแล้ว เพราะแม่มันได้คนงานมาใหม่สองคน” วสันต์เอาศอกกระทุ้งเพื่อน คุณเขมหน้าบึ้ง
“สันต์มาคุยกับลุงเขมทางนี้ดีกว่า” คุณเขมจูงมือเด็กชายวสันต์ไปที่ศาลากลางน้ำ ทวีกับบุญเกิดมองตามอย่างไม่เข้าใจ
“อะไรวะ? มาด้วยกันสามคน ชวนแต่วสันต์ ไม่ชวนพวกเรามั่งเลย ” ทวีว่า บุญเกิดเออออ
“กูก็ว่างั้น เออ ..แต่มึงว่าไหม คุณเขมกับไอ้วสันต์หน้าเหมือนกันชิปเป๋งเลยว่ะ” บุญเกิดพูดแต่ทวีไม่เห็นด้วย
“เหมือนตรงไหนวะ? คุณเขมหล่อจะตาย แต่วสันต์มันไม่หล่อ” คราวนี้บุญเกิดหัวเราะ แววตาฉลาดเกินวัย
“ไอ้บ้า..ถ้ามันโตขึ้นมันก็ต้องหล่อเหมือนคุณเขม ไม่เชื่อมึงคอยดูซี” แล้วเด็กทั้งสองก็เลิกคุย หันไปวุ่นวายกับปลาตัวโตในถังแทน….
เด็กชายวสันต์เดินตัวลีบเข้าไปหาผู้เป็นแม่ ดาหวันกำลังโกรธ เธอไม่เข้าใจคุณเขม เขากลับมาทำไม…ต้องการอะไรอีก
“สันต์ไปที่บึงชายเขามาอีกแล้วใช่ไหม?” เธอถามลูกชายน้ำเสียงดุกระด้าง เด็กชายก้มหน้านิ่ง
“ทำไมต้องดุลูกด้วย เขาไม่ได้ไปเกเรที่ไหน แค่ไปหาพะ..หาลุงเขมของเขา” คุณเขมยืนกอดอก หัวไหล่อิงกรอบประตู มองดาหวันดุลูกชายอย่างเห็นขัน ดาหวันอ้าปากค้าง
“ผมกำลังจะบอกแม่ครับ ว่าลุงเขมมาด้วย” เด็กชายเสียงอ่อย คุณเขมเดินมาตบไหล่เด็กชาย
“เดี๋ยวลุงเขมคุยกับแม่เขาเอง สันต์ไปอาบน้ำไป ลุงจะพาไปกินข้าวข้างนอก” เด็กชายวสันต์รับคำแล้วรีบเดินออกไปอย่างว่าง่าย เขาไม่ได้อาบน้ำ เด็กชายล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วรีบเดินออกไปหาลุงเขม เด็กชายกลัวว่าแม่จะดุลุงเขม เขายืนรีรออยู่แถวประตู ได้ยินเสียงลุงเขมพูดว่า
“ถ้าดายังไม่ยอมบอกลูก ผมจะเป็นคนบอกเขาเอง ว่าพ่อของเขายังไม่ตาย” เท้าที่กำลังจะก้าวเดินของเด็กชายชะงักนิ่ง
“ก็บอกสิ ..เขาคงจะเชื่ออยู่หรอก ในเมื่อผ่านมาตั้งหกปี คุณไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็น” แม่ของเขากำลังร้องไห้
“ผมอยู่ต่างประเทศ เพิ่งได้กลับเมืองไทยตอนคุณแม่เสีย แล้วก็ยุ่งมาตลอด มีเวลาที่ไหน”
“แต่คุณก็มีเวลาไปเดินซื้อที่ปลูกบ้านชายเขา ทำไมคะ? อยู่ใกล้กันแค่นี้ คุณจะแวะมาหาไม่ได้เชียวหรือ ถ้าคิดถึงลูกจริง”
“ทำเองที่ไหนเล่า ซื้อต่อเขามาอีกที ผมเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ มาวันแรกก็ไปเดินซื้อของในตลาด จ้างรถพี่บุญมาขนไปส่ง ถัดมาอีกวัน ผมเจอลูกชายตัวเอง แต่เขาบอกว่าพ่อตายแล้ว”
“ตายเสียจริงๆก็ดีหรอก หมดเวรหมดกรรม”
“เอ๊…ดานี่ เรื่องอะไรมาแช่งผม ปากคอเราะร้ายใหญ่แล้วนะเรา” ลุงเขมดุแม่ วสันต์ได้ยินเสียงแม่ร้องไห้ เด็กชายเดินตาลอยกลับห้อง ลุงเขมคือพ่อของเขา ถ้างั้นลุงเขมก็ต้องชื่อ เขมวัน ภาสุต ไม่อยากจะเชื่อเลย..วสันต์ไปค้นดูรูปเก่าซึ่งมีอยู่ไม่กี่รูปออกมาดู ภาพชายหนุ่มในชุดสูทธุรกิจ แตกต่างจากชายร่างใหญ่ตาดุในห้องรับแขกตอนนี้ เด็กชายลำดับภาพเลือนลางจากความทรงจำในวัยเด็ก เขาไม่ค่อยได้เจอพ่อบ่อยนัก พ่อไม่มีเวลาเล่นกับเขา แม่บอกว่า พ่อต้องทำงาน และต้องดูแลคุณย่าที่ป่วยอยู่ แต่ก็จำได้เสมอว่า อ้อมกอดของพ่ออบอุ่นเพียงใด….
เข้าวันต่อมา….เด็กชายวสันต์แต่งกายทะมัดทแมงเดินเข้าไปหาผู้เป็นแม่ ดาหวันกำลังเย็บผ้าม่านผืนใหม่ เธอเงยหน้ามองลูกชาย
“แม่ไม่ไปร้านหรือครับ”
“ไปสายหน่อยก็ได้จ้ะ ตอนนี้มีคนช่วยงานแล้ว แม่จะเย็บผ้าม่านให้เสร็จก่อน ทำค้างไว้ตั้งนานแล้ว” บอกแล้วเดินไปหยิบตะกร้าค้นด้ายออกมาเทียบสีกับผ้าในมือ เด็กชายวสันต์มีท่าทีอึดอัด เขาไปยืนข้างหน้าต่าง แล้วเดินกลับมายืนใกล้ๆ แม่ มองแม่เย็บผ้า
“เอ…ไม่มีอะไรทำหรือ? มายืนเฝ้าแม่อยู่ได้ ออกไปเล่นกับเพื่อนไป แม่อนุญาต” ดาหวันบอก เด็กชายยิ้ม
“ไปที่บึงได้ไหมครับ” เขาถาม มองแม่อย่างมีความหวัง ดาหวันเงียบ
“นะครับแม่ ผมอยากไปหาพ่อ” ดาหวันทำเข็มทิ่มมือตัวเอง เธอวางงานในมือ มองลูกชายอย่างตระหนก
“เอาอะไรมาพูด ใครเป็นพ่อของลูก พ่อเขาตาย…”
“ลุงเขมไงครับ ลุงเขมเป็นพ่อของผม ผมได้ยินลุงเขมคุยกับแม่เมื่อคืน นะครับแม่…ผมคิดถึงพ่อ” เด็กชายออด ดาหวันร้องไห้ ดึงลูกชายมากอด ถามว่า
“สันต์ไม่โกรธแม่ใช่ไหม ที่โกหกเรื่องพ่อ แม่ขอโทษนะลูก”
“ผมดีใจครับ ที่พ่อยังไม่ตาย เราจะไปอยู่กับพ่อใช่ไหมครับ ใช่ไหมครับแม่?” ดาหวันอึกอัก คุณเขมคนนี้ ไม่เหมือนคุณเขมเมื่อหกปีที่แล้ว ชายหนุ่มอ่อนโยนใจดี สุภาพและโรแมนติกคนนั้น กลายเป็นคนกระด้างดุดัน ดาหวันไม่แน่ใจว่าคุณเขมยังรักเธออยู่หรือเปล่า เขารักลูก ต้องการลูก แต่แม่ของลูกล่ะ…เขายังต้องการอยู่ไหม…
“พ่อเขาไม่อยากให้แม่ไปอยู่ด้วยหรอก”
“ทำไมล่ะชครับแม่? วันนี้ผมจะไปหาพ่อ บอกให้พ่อมารับแม่ แม่รอก่อนนะครับ” วสันต์รีบปั่นจักรยานไปหาทวีที่ร้าน ดาหวันร้องตามลูกชาย ในใจวุ่นวายสับสน ครึ่งหวาดครึ่งหวัง…
“วันนี้ไม่ตกปลา แล้วเรามาทำไมกันวะ?” บุญเกิดถาม ทวีส่ายหัว บอกไม่รู้
“รอนี่ก่อนนะ กูจะไปหาลุงเขม” วสันต์บอกเพื่อน สองสหายพยักหน้า พากันเดินเลียบตลิ่งชมนกชมไม้ อีกด้านหนึ่ง…คุณเขมกำลังยืนเอามือไขว้หลังนิ่งอยู่ ทอดสายตาออกไปใกลอย่างไม่มีจุดหมาย เด็กชายวสันต์มองแผ่นหลังกว้างกำยำของพ่อแล้วสะอื้นเบาๆ
“ พ่อครับ” คุณเขมหันกลับ
“สันต์”
“ผมคิดถึงพ่อครับ ผมรักพ่อ” เด็กชายโผเข้าหา คุณเขมรับร่างผอมบางของเด็กขายไว้แล้วกอดแนบแน่น น้ำตาอุ่นใหลซึมจากดวงตา วสันต์เรียกเขาว่าพ่อ กำลังสะอื้นไห้อยู่ในอ้อมกอดของเขา คุณเขมรู้สึกปลาบปลื้ม
“แม่เขาบอกเรื่องพ่อแล้วใช่ไหม?งั้นปิดเทอมพ่อไปรับสันต์มาอยู่ด้วยนะ ขนของมาให้หมดเลย”
“ครับ แล้วให้แม่มาด้วยไหมครับ แม่บอกว่าพ่อไม่อยากให้แม่มา พ่อโกรธแม่หรือครับ” วสันต์หยุดร้องไห้ ถามพ่ออย่างกังวลนิดๆ คุณเขมเอาหลังมือป้ายน้ำตา บอกลูกว่า
“ไม่โกรธหรอกลูก แต่แม่เขาเป็นคนดื้อ อาจต้องโดนทำโทษบ้าง”
“พ่อจะตีแม่หรือครับ” เด็กชายวสันต์ถามพ่อตาโต คุณเขมเอาแต่หัวเราะ ไม่ตอบคำถามลูกชาย
ปิดเทอม อากาศชายเขาเย็นสบาย ดอกไม้ป่าหน้าตาแปลกๆ ออกดอกเบ่งบานแต้มประปรายอยู่ระหว่างสีเขียวของใบไม้ เด็กชายสามคน กำลังนั่งล้อมวงเล่นหมากฮอทอยู่ที่ศาลา
“แพ้อีกแล้วกู ไอ้เกิด มึงขี้โกงรึเปล่าวะ?” ทวีโวยวาย
“มะเหงกแน่ะ!ขี้แพ้ชวนตีนะมึง แพ้ลก็ออก เดี๋ยวกูเล่นกับวสันต์ ” บุญเกิดบอก แล้วใช้ให้ทวีไปเอาน้ำหวานมากิน ทวีเดินเข้าบ้าน ไม่เจอใคร..พ่อกับแม่วสันต์ไปไหนวะ? เด็กชายนึก เดินเลี้ยวเข้าไปในครัวเพื่อหาของกิน เขาได้ยินเสียงคุณเขมแว่วออกมาจากห้องหนังสือก็เดินไปชะโงกหน้ามอง
“ไม่ต้องไปแล้ว เดี๋ยวถ้ามีคนมาเช่า พี่บุญมาก็มาบอกเองนั่นแหล่ะ”
“แต่ดาอยากเข้าไปทำความสะอาดบ้าง ไม่ได้ไปเป็นอาทิตย์แล้ว รกเรื้อมากๆ ใครเขาจะอยากมาอยู่”
“อยากไปดูบ้าน หรือไปดูใจปลัด ได้ข่าวว่าไม่สบายไม่ใช่หรือ คงจะเป็นไข้ใจ ใกล้ตายแล้วมั้งป่านนี้”
“ดูสิ .ไปว่าเขาทำไม พาลไม่เข้าเรื่อง”
“ก็มันอยากมาจีบเมียผมทำไม ขืนไม่เลิกวุ่นวาย เจอกันคราวหน้าผมยิงไส้แตก” ้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้เสียงคุณเขมชักจะดังขึ้น ทวีทำคอย่น เด็กชายเดินกลับเข้าไปในครัว พ่อวสันต์โคตรดุ โคตรหล่อ แล้วก็เก่งหลายอย่าง ทำไมเตี่ยกูไม่เป็นแบบนี้บ้างวะ…ทวีพึมพำ เขาเปิดตู้เย็น คว้าขวดน้ำอัดลม แล้วไปหยิบแก้วถือเดินออกไปหาเพื่อน
“ทำไมช้านักวะ?คอแห้งหมดแล้ว” บุญเกิดต่อว่า ทวีรินน้ำให้เพื่อน แล้วหันไปถามวสันต์
“พ่อกับแม่มึง ทะเลาะกันบ่อยไหมวะ?”
“ไม่เคยนะ พ่อรักแม่จะตาย ” วสันต์บอกเพื่อน ทวีส่ายหน้าเถียงว่า
“แต่เมื่อกี๊ กูเห็นพ่อกับแม่มึงทะเลาะกัน เรื่องคุณปลัด พ่อมึงจะยิงปลัดไส้แตกด้วยนะโว้ย” บุญเกิดกับวสันต์หยุดเล่น เด็กทั้งสองรบเร้าให้ทวีเล่าเหตุการณ์ให้ฟังอย่างละเอียด พอทวีเล่าจบ บุญเกิดก็หัวเราะ เอามือตบเข่าฉาดเลียนแบบลุงบุญมา
“โธ่เอ้ย! เรื่องไม่เป็นเรื่อง พ่อแง่แม่งอนโมโหหึง อีกหน่อยมึงก็มีน้อง” บุญเกิดบอกอย่างผู้รู้
“ทำไมมึงรู้” ทวีกับวสันต์ถามขึ้นพร้อมกัน บุญเกิดฉีกยิ้มกว้าง คุยว่า
“ก็กูฉลาดกว่าพวกมึง พ่อกูบอกกับแม่กูว่า …คุณเขมถ้าจะเอาจริงนะคราวนี้ รักเมียมากก็หึงมาก กลัวอย่างเดียวว่าคุณปลัดจะเจ็บตัวสักวัน อย่างนี้ไม่นาน วสันต์คงได้อุ้มน้องเล็ก” วสันต์กับทวีน้องว่า
“โธ้เอ้ย!ฉลาดเหลือเกินนะมึง กูก็นึกว่าคิดเอง” ทั้งสองรุมเขกหัวบุญเกิดที่ลุกขึ้นวิ่งหนี พลางร้องโอดโอย
………..จบบริบูรณ์…..
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ทอแสง เขมวัลย์ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ทอแสง เขมวัลย์
ความคิดเห็น